การปรับตัวขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจาก Double Disruption
จะว่าไปแล้ว ธุรกิจขนาดใหญ่หลายๆ สาขา ก็พยายามจะปรับตัวกันอยู่แล้ว ตั้งแต่การมี e-commerce ยาวมาสู่ยุค Digital Disruption ที่เหล่าบรรดานักธุรกิจและนักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนช่องทางในการวางจำหน่ายสินค้า จากโลกออฟไลน์ ที่ถูกจำกัดด้วยพื้นที่และทำเลในการวางขายสินค้า มาสู่อีกหนึ่งแพลทฟอร์ม ที่กว้างใหญ่กว่ามากหรือโลกดิจิตอลนั่นเอง
งานนี้คงต้องเรียกได้ว่า นี่คืองานช้างระดับคูณสอง เมื่อองค์กรต่างๆ ที่มีความเชื่องช้า เนื่องจากบุคลากรส่วนใหญ่นั้นเป็นคนมีอายุมาก และไม่ค่อยถนัดเรื่องการใช้งานอุปกรณ์ไอที หรือมีความคุ้นเคยกับโลกออนไลน์อยู่ในองค์กรเยอะๆ แถมยังยืนยันจะทำงานในรูปแบบเดิมๆ แบบที่ตนเองคุ้นเคยต่อไป ส่งผลให้การ Transform องค์กรจากรูปแบบออฟไลน์แบบเดิมมาสู่แพลทฟอร์มใหม่อย่างช่องทางออนไลน์นั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า
แต่ด้วยพลังวิเศษแห่งเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 กลับทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แบบยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ได้เข้ามาปฏิวัติการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งโลก ให้ก้าวสู่โลกออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ซึ่งสิ่งแรกที่หลายบริษัทต้องเจอ ก็คือ การ Work from Home หรือการให้พนักงานทำงานจากที่บ้านนั่นเอง
สมัยก่อน การที่จะทำธุรกิจนั้นไม่ได้ง่ายดายเลย เพราะต้องเช่าตึกหรือสร้างตึก เพื่อทำเป็นออฟฟิสขนาดใหญ่ ต้องซื้ออุปกรณ์การทำงาน ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ติดตั้งระบบไฟ และเครื่องปรับอากาศ มีเครื่องพริ้นท์ เครื่องถ่ายเอกสาร และโทรศัพท์ตามแต่ละผนกมากมาย กว่าที่จะได้เริ่มงานกันได้ ซึ่งมีต้นทุนไม่น้อยเลยทีเดียว ไหนจะต้องมีการตอกบัตร และควบคุมพนักงานในที่ทำงาน ว่าไม่หนีออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนระหว่างเวลางานอีกด้วย
แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ที่ทางบริษัทสามารถประหยัดค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายาม ค่าแม่บ้าน และสวัสดิการต่างๆ ลงไปได้มาก เมื่อเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 มาเยือน เพราะนักธุรกิจกลับพบว่า เหล่าบรรดาพนักงานนั้นมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเอาไว้ใช้งานอยู่แล้ว และที่บ้านของพวกเขาก็มีอินเทอร์เน็ต พร้อมที่จะทำงานได้ โดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่สำนักงาน และถ้าจะมีการประชุมงานจริงๆ ก็แค่ใช้แอปพลิเคชั่น Zoom เท่านี้ก็สามารถรวมตัวกันได้แบบครบทีม ไม่ว่าผู้เข้าประชุมจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แถมยังสามารถมอนิเตอร์ทุกๆ คนไปพร้อมๆ กันได้ด้วย ว่าสนใจเข้าประชุมมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งยังสามารถบันทึกคลิปการประชุมเอาไว้ มาตรวจสอบย้อนหลังได้อีกต่างหาก
นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิด Double Disruption ในสังคมไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมที่สมจริงมากขึ้น สามารถนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับโลกออฟไลน์ ด้วยเทคนโนโลยี AR และ VR ที่กำลังจะกลายเป็นสื่อใหม่ ที่สามารถยกระดับการทำงานของผู้คนได้อย่างเหนือระดับมากยิ่งขึ้น
# ทุจริต “เราเที่ยวด้วยกัน” โครงการรับดีแค่ไหน แต่คนไทยไม่ช่วยกันมันก็เท่านั้น